หลวงพ่อศักดิ์ชัย มณีโชติ ตอนที่ 1

ประวัติ หลวงพ่อจตุรภัทร มณีโชติ(อดีตหลวงพ่อศักดิ์ชัย มณีโชติ)

ท่านเกิด วันเสาร์ ปีขาล บิดาชื่อ นายสมนึก มณีโชติ,  มารดาชื่อ นางแสวง แจ้งสว่างศรี ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๒ คน เป็นหญิง ๑ คน ท่านเป็นคนสุดท้อง ท่านเป็นเสือกำเนิดโดยสายเลือด เพราะทางฝ่ายย่าทวด ของท่านเป็นพี่น้องกับสุดยอดพระเถราจารย์ ปรมาจารย์ แห่งเสือ หลวงปู่ปาน วัดมงคลโคธาวาศ (วัดบางเหี้ย) มีต้นตระกูลนิวาสสถาน อยู่ที่ บางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ เป็นคหบดีเก่าแก่ ก่อนจะเดินทาง มาทำมาค้าขายที่แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ มาตั้งรกราก ทำมาหากินจนทำให้มีฐานะดี สำหรับพระเถราจารย์อีกองค์หนึ่งที่สำคัญ ของสายตระกูลนี้คือ พระครูธรรมพิรยคุณ(เต่า) ธัมมธโร(มณีโชติ) สุดยอดเกจิอาจารย์แห่งเมืองอ่างทอง

ในวัยเด็กท่านได้ย้ายตามบิดามารดามาอยู่ กรุงเทพฯ ย่านอ่อนนุช ได้ศึกษาเล่าเรียน ตามลำดับ ขณะเดียวกันนั้นสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น กับครอบครัวของท่าน ท่านเกิดล้มป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการแปลกไป พูดจาภาษาแปลกๆ พ่อแม่ของท่าน ได้พาท่านไปรักษา ที่โรงพยาบาลหลายแห่ง แม้กระทั่งโรงพยาบาลศรีธัญญา ตลอดถึงยา แผนโบราณใครว่าที่ไหนดีก็ดั้นด้นไปจนหมดทุกที่ ก็ไม่ดีขึ้นมา เรียกว่า รักษากันจนหมดปัญญาเลยทีเดียว แต่แล้วด้วยบุญบารมี หรือ จะด้วยสิ่งใดก็สุดคาดเดา เทวะบัญชาจากเบื้องบน ก็ส่งให้ท่านได้มาพบกับมหาบูรพาจารย์ หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส สุดยอดเถราจารย์แห่งเมืองกรุง ทันใดที่แม่ของท่านพาท่านมาถึงกุฏิ หลวงพ่อวงษ์ หลวงพ่อวงษ์ร้องทักในทันทีว่า "มาแล้วหรือรออยู่ตั้งนานแล้ว ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก ใครก็รักษาเจ้าไม่ได้มีแต่ องค์บรมครูใหญ่ (เพชรฉลูกัณฑ์) เท่านั้นที่จะรักษาเจ้าได้" จากนั้นหลวงพ่อวงษ์ ท่านก็ทำน้ำพระพุทธมนต์ ประพรมให้ และแล้วท่านก็หายจากอาการต่างๆ โดยสิ้นเชิง ท่านจึงบวชพราหมณ์ อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อวงษ์ถึง ๒ ปี หลวงพ่อวงษ์ก็เมตตาถ่ายทอดวิชาอาคมให้แก่ท่าน หลังจากสิ้นบารมีหลวงพ่อวงษ์แล้ว  ท่านก็ดำเนิน ชีวิตในฆราวาสวิสัย แต่ก็ไม่ลืมที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมีเวลาก็หมั่นนั่งสมาธิ รักษาศีล ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา
จวบจนวันสำคัญวันหนึ่งมาถึง องค์บรมครูเพชรฉลูกัณฑ์ (ครูใหญ่) ของท่านก็ขอให้ท่านบวช ในบวรพุทธศาสนา 10 พรรษา เพื่อสร้างสมบารมีท่านจึงได้ทำการอุปสมบทที่วัดบ้านดอน อ.วิหารแดง จ.สระบุรี โดยมี พระเดชพระคุณ พระครูวิจารณ์พัฒโนวาท (พัฒน์) วัดเกาะแก้วอรุณคาม เจ้าคณะอำเภอวิหารแดง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ธัมมสุนทโร" หลังจากอุปสมบทแล้วก็อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย ปรนนิบัติรับใช้ พระอุปัชฌาย์ของท่าน สำหรับหลวงพ่อพัฒน์ นี้ท่านมีเวทย์วิทยาคมที่เข้มขลังนัก  ครบถ้วนทั้ง ทางด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เมตตามหานิยม ท่านก็เด็ดขาดยิ่งนัก หลวงพ่อท่านได้รับการถ่ายทอดจากองค์อุปัชฌาย์ของท่านอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาถ่ายทอดครอบครูโขนจากองค์หลวงพ่อทอง เติม สำนักสงฆ์ถ้ำบัวขาว จ.ลพบุรี หลวงพ่อทองเติมท่านเป็นครูโขนมาก่อน วิชาอาถรรพณ์พระเวทย์ต่างๆ แล้ว ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ซึ่ง หลวงพ่อทองเติมก็ถ่ายทอดให้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นวิชาทำผงอาถรรพณ์ เมตตามหานิยม ชนิดเอกอุ และท่านยังเป็นอาจารย์สักอีกด้วย วิชาที่โด่งดัง ขลังพลังลึกของท่านก็คือ เสือหางด้วน แต่ท่านก็ไม่นิยมสักให้กับผู้ใดง่ายๆ และด้วยบุญบารมี หรือสิ่งใดก็สุดคาดเดา ท่านเมตตาลงเข็มสักเสือหางด้วนให้กับหลวงพ่ออย่างเต็มที่เต็มกำลัง หลังจากนั้นก็ประสิทธิ์ประสาท เวทย์วิทยาคมประจุแก่หลวงพ่อ  พอเสร็จแล้วท่านก็มรณภาพโดยสงบ นัยว่าท่านได้ถ่ายทอด ทุกสรรพสิ่งให้ กับหลวงพ่อโดยหมดสิ้น หลังจากนั้น หลวงพ่อยังได้มีโอกาสไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อทอง วัดถ้ำทอง จ.ลพบุรี หลวงพ่อว่า "เอ็งจะมาเรียนทำไมกับข้ามากมายนัก สิ่งที่อยู่ในตัวเอ็ง ก็มากมาย มีครูใหญ่ (เพชรฉลูกัณฑ์) เทพเทวา เขารักษาตัวเอ็งอยู่แล้ว กลับไปหมั่นทำสมาธิ ศึกษาธรรมวินัย บำเพ็ญบารมี จะทำการมงคลใด ก็สำเร็จเองแหละวะ"
หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้ไปศึกษากับผู้ใด อีกเลย กลับมาอยู่จำพรรษาที่ วัดบ้านดอน จ.สระบุรี ได้อยู่ช่วยงานการกิจธุระ ต่างๆ ของท่านเจ้าอาวาสอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ในขณะเวลาช่วงนั้น ท่านเจ้าอาวาสวัดลิ้นทอง ได้เดินทางไปมาหาสู่ กับ ท่านเจ้าอาวาส วัดบ้านดอน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุย กับหลวงพ่อ ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกันยิ่งนัก อาจเป็นด้วยเทวะบัญชา หรือโชคชะตากำหนด ที่จะให้ท่านมาอยู่ วัดลิ้นทอง ท่านเจ้าอาวาสวัดลิ้นทอง จึงเอ่ยปากชักชวนหลวงพ่อให้มาอยู่จำพรรษาด้วยกันที่อ่างทอง ซึ่งตัวท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านดอน อีกทั้งตัวหลวงพ่อก็ไม่ขัดข้อง  จึงย้ายมาอยู่วัดลิ้นทอง และเมื่อท่านมาอยู่วัดลิ้นทอง ก็ช่วยเอาใจใส่ในธุระ  ช่วยงานของเจ้าอาวาสเป็น กำลังสำคัญ ในการบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆ ซึ่งในขณะนั้น วัดลิ้นทอง ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระครูฐานา ของ พระเทพปริยัติวิธาน(บุศย์) วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพฯ ที่ พระครูวินัยธร ศักดิ์ชัย ธัมมสุนทโร ส่วนด้านเวทย์วิทยาคม ท่านก็ได้ ทบทวน คาถา อาคม มนต์ตรา ต่างๆที่ ศึกษามาอีกทั้งยังศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จากตำราเก่าแก่ของวัดลิ้นทอง บำเพ็ญเพียรบารมีสงเคราะห์ญาติโยมในด้านต่างๆ เรื่อยมา มีคณะศรัทธา ญาติโยม ศิษยานุศิษน์ ถวายจตุปัจจัยมา  ท่านก็ไม่เคยยินดี ในลาภสักการะนั้นเลย นำไปทำนุบำรุงเสนาสนะต่างๆ ในวัด ตลอด  ทั้งยังสร้างขึ้นมาอีกจวบจนเกือบ สมบูรณ์แล้วในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยูในเพศบรรพชิต ท่านสร้างวัดไปเป็นจำนวน 30 ล้านบาท นับว่าบารมีครูบาอาจารย์ของท่านและบารมีท่านไม่ธรรมดา…

  แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ท่านถูกพระผู้ใหญ่เจ้าคณะตำบลเรียกสอบถึงกรณีที่มีคนส่งภาพถ่ายท่านขณะสวม เศียรพ่อแก่ ในงาน “ไหว้ครู” พร้อมร้องเรียนไปว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสมณะเพศ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะกลุ่มบุคคลศูนย์พระที่สูญเสียประโยชน์เลวๆ กลุ่มหนึ่งจ้องทำลายท่านโดยการส่งเรื่องอันเป็นเท็จตลอดถึงรูปที่ท่านสวม เศียรพ่อแก่ ไปยังพระเจ้าคณะปกครองท่านเพียงเพราะเรื่องผลประโยชน์จากการสร้างวัตถุมงคล ซึ่งบุคคลคนนี้ก็เป็นศิษย์ที่ท่านครอบครูให้มานั่นเอง...เคยมีโอกาสได้สร้าง วัตถุมงคลให้กับท่านอยู่ในระยะเวลาสั้นๆโดยเริ่มแรกก็เรียบร้อยดีแต่หลังๆ การสร้างนั้นดำเนินการเอง ออกแบบเองอะไรทั้งหมดโดยที่ไม่เคยปรึกษาหารือท่านเลยเพราะบางอย่างท่าน ต้องกล่าวขออนุญาตครูบาอาจารย์ของท่านก่อนที่จะสร้างมิเช่นนั้นจะผิดครูซึ่ง คนที่เดือดร้อนก็คือท่านและจุดแตกหักก็มาถึง..พ่อครูท่านได้สร้างวัตถุมงคล ขึ้นมาชุดหนึ่งประกอบด้วยไม้ครูและเบี้ยแก้ ท่านกล่าวว่าใครหรือศูนย์พระเครื่องไหนที่อยากจะเอาวัตถุมงคลไปวางที่ศูนย์ ต้องมาตัดสด(จ่ายเงิน)เพราะท่านต้องจ่ายค่าช่างที่ดำเนินการมาจะให้ไปตาม เก็บที่ศูนย์สองสามเดือนครั้งไม่ได้เพราะที่วัดมีค่าใช้จ่ายมากมายทั้งค่า น้ำ ค่าไฟ ค่าวัสดุก่อสร้างค่าแรงต่างๆ สร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลคนนี้เป็นอย่างมากอันตามมาซึ่งปัญหาที่เกิด ขึ้น....

 ..เมื่อครั้งดำรงเพศบรรพชิตเมตตาครอบครูให้ ศิษย์เพื่อความเป็นสิริมงคลเจริญรุ่งเรือง..
หลังจากที่ท่านเข้าพบเจ้าคณะปกครองของท่าน พร้อมทั้งชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทราบแล้ว เจ้าคณะปกครองท่านก็เข้าใจดีว่าเป็นเรื่องผิดพระธรรมวินัยเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการยุติปัญหาที่จะเกิดตามมาอีกและเพื่อความสบายใจ ท่านก็ขอลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดลิ้นทอง พร้อมทั้งเรียกพระ เณร ตลอดถึงกรรมการวัดทั้งหมดมาประชุมเพื่อแจ้งเรื่องที่ท่านโดนสอบสวนให้ได้รับ ทราบโดยทั่วกัน ทุกคนในที่ประชุมต่าง เสียใจเป็นอันมากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น...ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อจะ เดินทางไปชี้แจงเรื่องนี้กับทางพระปกครองแต่ก็ถูกพ่อครูท่านขอร้องให้ยุติ ปล่อยเป็นไปตามกระบวนความ...หลังจากนั้นท่านก็มาพิจารณาคิดถึงว่าชะรอยที่จะ ถึงเวลาเสียแล้วกระมังคำประกาศิตครูใหญ่ที่ว่าให้บวช 10 พรรษา คงไม่มีทางหลีกหนีได้เพราะนี่ก็ล่วงเลยมา 15 พรรษาแล้ว ช่วงระยะเวลาที่เลยพรรษาที่ 10 มามีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายหลายเหตุการณ์ เจ็บป่วยหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ประสบอุบัติเหตุรถชนถึงสี่ครั้งในวันเดียวกันและสุดท้ายหนักที่สุดประสบ อุบัติเหตุรถชนกันกระเด็นข้ามฝากไปอีกฝั่งถนนโด่งดังเป็นข่าวทางทีวีทุกช่อง ...แต่ที่ท่านยังไม่ตัดสินใจลาสิกขาบทเพราะท่านยังห่วงวัด ยังมีสิ่งก่อสร้างที่ท่านสร้างไว้ไม่แล้วเสร็จ ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจลาสิกขาบทโดยที่ไม่ยึดติดในลาภสักการะเงินทองหรือ ตำแหน่งใดๆทั้งๆที่ท่านกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง เคยได้รับอาราธนานิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกร่วมกับสุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้ทรง คุณมากมายทั้งพิธีราษฎร์และพิธีหลวง..
     วิถีในเพศฆราวาสท่านยังคงปฏิบัติ ภาวนาสมาธิเฉกเช่นเดิมที่เคยปฏิบัติมาทุกวันนี้  แม้ ท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาท่านก็ยังสันโดษ สมถะ คิดแต่จะสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อฝากไว้ในบวรพุทธศาสนาเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ที่เมตตาสอนสั่งไว้  ลูกศิษย์พ่อครูย่อมทราบกันดีถึงคุณธรรมอย่างหนึ่งของท่าน  ว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีจิตบริสุทธิ์จริง ๆ  ท่านไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  ท่านให้ การต้อนรับ  สงเคราะห์ เหมือน กันหมดทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม  แต่เมื่อมาพบท่านแล้ว  ทุกคนมี สิทธิ์เท่ากันหมด  ไม่มีศิษย์ใกล้ชิดหรือไม่ใกล้ชิด  พูดคำไหนคำนั้น  รู้บอกรู้ ไม่รู้ บอกไม่รู้ ลูกศิษย์ลูกหามาขอให้ท่านสงเคราะห์โน่นนี่นั่น  ถ้าเป็นเรื่องในสิ่งที่ทำได้...ทำ  ถ้าทำ ไม่ได้  บอกตรง ๆ ว่า ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ไม่ทำ...


ความคิดเห็น